แชร์หน้านี้ให้เพื่อนๆ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทึ่ง!ค้นพบคำทำนาย 10 รัชกาลของประเทศไทย



เรื่องอนาคตของชาติโดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
(วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2518)

พลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 3 ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

...
พร้อม ด้วยพระเถระรวม 6 รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพ ภาพที่ 2 โดยนำผ้ายันต์พิชัย สงครามไปแจก ให้ทหารตามฐาน ปฏิบัติการชายแดน ระหว่าง วันที่ 20 - 23 ธันวาคม 2518 และในวันสุดท้าย คือวันที่ 23 ธันวาคม 2518 ได้ทำการแจกให้ทหารค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำการแจกได้แสดงธรรมกถาพิเศษ เรื่อง อนาคตของชาติ ที่ศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ. นครราชสีมา


มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล
เจริญ สุข แก่บรรดาทหารของชาติ อาตมาได้ไงทำการแจกจ่ายผ้ายันต์และเหรียญ แก่ทหารทางเหนือมาแล้ว 3 ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงสมเด็จพระบรม ราชินาถว่า สมเด็จพระบรมราชะนีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่าน ไม่ห่วงทหารภาคอีสาน หรือ อย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารภาคอีสานบ้าง

ความ จริงอาตมาห่วงทหารภาคอีสานเช่น เดียวกับ ทหารภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพล ที่ 3 รับ จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี

ขั้น แรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราชธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพลได้ อาราชธนาให้เล่าเรื่องของที่มาแจกจ่ายว่าทรงคุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่รับแจกไปจะเกิดความศรัทความเชื่อมั่น
เพื่อ สนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชาการกองผลที่ที่ 3 ได้อาราชธนาจึงพูดเรื่องธรรม ก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจึงจะพุดถึงเรื่องสิ่งของ ของที่นำมาแจกจ่าย เราทุกคนอยากมีด้วยทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่าอยากมั่ง ออยากมียศมีอำนาจแต่ความจริง แล้วก็คืออยากมีดีนั้นเอง

แม้ เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่มีสุดของความอยากนั้นก็คือความดีนั้นเอง

รักษาศีล 5 ให้ได้

ความดีนั้นมีกฎเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการคือ

*
เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รักแก ข่มแหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไปข่มแหงเขา
*
เราไม่อยากให้ใครมาลักเอง เราก็อย่าลักของเขา
*
เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
*
เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
*
เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราก็จะเป็นคนบ้า


เจริญพรหมวิหาร 4 ไว้
ความดีที่สูงกว่าขึ้นไปอีก ที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเอง คือพรหมวิหาร 4 ประการคือ

*เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รกครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดประเทศชาติ

*กรุณา ความสงสาร ก็ต้องมีบุคคลอื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่ที่เขารับอยู่

* มุทิตา ยินดีด้วย เมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชม อนุโมทนาด้วย

*อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้องของเราไม่ทำผิด เราต้องทำตัวเป็นกลาง เมื่อเขาได้รับโทษก็คือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือในทางที่ผิด

เว้นจากความลำเอียงทั้ง 4 ประการ
ผู้ที่จะมีความในธรรมในข้อ 4 นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ

* ความสำเอียงเพราะความรัก
* ความลำเอียงเพราะความชัง
* เพราะความหลง
* ความกลัว

ทหารแปลว่าเคยหนุ่ม
ทหารทุคนต้องเป็นหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นหนุ่ม เพราะคำว่า ทหาร แปลว่า คนหนุ่ม
คน หนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรงว่องไว กล้าหาญบึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อมีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท และ ข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตาย เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อถึงคราวที่จำเป็นนี้พุดถึงทหาร เพราะอาตมาเคยเป็นทหารเรือมาแล้ว ย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี

ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง
ทหาร ที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่คือว่าเป็นความความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเราหน้าที่ป้องสิ่งที่ดีงามเอาไว้ ความดีนั้นคือความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขปวงชนในผืนแผ่นดินไทยทุกคน
ความ สงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่ยอมเสียสละเลือดเนื้อ และชีวิตของเราจึงได้ชื่อว่าว่าเราทุกคนได้ทำ ความดี สมศักดิ์ศรีของความเป็นทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม


ภูอันธพาน ( ภูพาน )
อาตมา ขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาน ไม่อยากเรียกว่า ภูพาน ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพานทั้งนั้น ได้พิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมือง การสู้รบของทหารเห็นว่า เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงวิตก และทรงมีความห่วงใย ประเทศชาติ บ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
ดัง ที่เห็นได้ว่าเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2518 พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา ( วัดท่าซุง ) และได้ตรัสถามความเป็นไปของบ้านเมือง ในอนาคตว่าจะเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคต ว่าจะเป็นอย่างไร


อนาคตของชาติ
อาตมาได้ถวายพระพระองค์ว่า ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.ศ. 2520 เป็นต้นไป
ประเทศ จะดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่นคงสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติ และประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่จะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ.2524 เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นนัก และเริ่มจะฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์ เช่นนั้น เพราะเหตุผลหลายประการ คือ

คำทำนายของพระพุทะโฆษาจารย์
ใน ประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหัตน์ ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำไย ) เขียนไว้ ทำนายเกี่ยวกับชะตาบ้านเมือง ท่อนที่กรุงศรีอยุธยามากู้ชาติ ได้แล้ว จะต้องไปตั้งเมืองหลวงใหม่ และเหตุการณ์ ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียเสียอิสรภาพแก่พม่า ตอนที่กรุงเพฯยังไม่ปรากฏ
โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แต่จะเสียอิสระไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติได้แล้ว จะต้องไปตั้งเมืองหลวงใหม่ และ เหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นความจริงตามคำทำนายทุกอย่าง
ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง 10. รัชกาล
ใน สมุดข่อยเล่มเดียวเดียวนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ้งเป็นการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละ รัชกาลดังนี้

รัชกาลที่ 1. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่2. รู้จักธรรม
รัชกาลที่3. จำต้องคิด
รัชกาลที่4. สนิทธรรม
รัชกาลที่5 .จำแขนขาด
รัชกาลที่6.ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่7. นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่8. ยุคทมิฬ
รัชกาลที่9. ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่10. ชาววิไล


ความแม่นยำของคำทำนาย
เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาล ก็จะเห็นได้ชัดว่าคำว่าคำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด

รัชกาลที่1. ผ่านพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์สมบัติ

รัชกาลที่2.ท่านว่างจากศึกสงครามก็เห็นมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้สงฆ์ค้นคว้าธรรมวินัยรวบรวมเป็นใหญ่

รัชกาลที่3.ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินสร้างสรรค์บ้านเมือง ให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

รัชกาลที่4. ท่านสนิทธรรมก็เพราะราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง 27 พรรษา มีความคล่องตัวในธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิกฎอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุทธพุฒาจารย์ ( โต ) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน

รัชกาลที่5. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดเจนมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้ง หลายหนโดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนดีกว่าเสีย หมดทั้งตัว คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้

รัชกาลที่6. ราษฎร์าชาโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระพระคลัง จนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่า พระองค์ทรงเป็นชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชน ให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทบทหนึ่งพระราชนิพนไว้ว่า ใครมาเป็นเจ้าของเจ้าข้าครอง คงจะต้องบังคับไล่ เคี้ยวเข็ญ เย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่าง ให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ถือพระองค์ยังสามารถทำให้ ไทยเป็นที่ปรากฏแก่ ชาวโลก โดยส่งทหารไป ช่วยสงครามโลกครั้งที่1. จึงจำต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ก็เกิดประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก

รัชกาลที่7. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์ ต่อดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดนจนสิ้นพระชนม์

รัชกาลที่ที่8.ยุค ทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในสภาวะสงครามโลกครั้งที่2. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตกอดอยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ลูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต

รัชกาลที่9.ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้าน เต็มเมืองล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น

รัชกาลต่อไป คือรัชกาลที่ 10. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองของเราได้ผ่านยุคเข็ญ จะประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที
เราจะมั่งคั่งสมบูรญ์เหมือนานาอรยะธรรมประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย

ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง 10 รัชกาลเท่านั้นรึ ?
ปัญหาที่น่าคิดไปคือว่า ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จำทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง 10 รัชกาลเท่านั้น ?

กรุงเทพ มหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง 10 พระองค์เท่านั้นหรือ ? เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเองเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่องอดีตปัจจุบัน อนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆองค์ขณะนี้ ทุกๆรูปอาตมาได้สอบถามจากท่านเรื่องต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

พระ มหากษัตริย์จะมียังมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ 10 พระองค์ เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่10 เป็นต้นไป บ้างเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวยประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก


พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก

ประการ ที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏ ในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้

“..อา นันทะ ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

แต่ว่า.. อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

หลัง กึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน

แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

ความแม่นยำของพุทธทำนาย

จากพระ พุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์

หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้

มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง

ตามพระ พุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศ ที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างแต่ไม่ มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทย นี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนา ยังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้ ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว

เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนา จะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์

ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า

พระ เจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด

พระ พุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน

ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี

ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”

เมื่อ พระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร

จากคำ พยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า

“เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้

แต่ข้อ สำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับ คำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้าน เมือง”

ดวงทหารคู่กับดวงเมือง

ขอให้ ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี-เด็ดเดี่ยว-ไม่ประมาท-กล้าหาญ-และพร้อมที่จะยอมตาย เพื่อชาติบ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น

เพราะ บ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑. เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหาร โดยให้ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด

ที่พูด นี้มิใช่จะมายุยงให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่...ขอให้เราทุกคนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่า นี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว

ดวง ชะตาของทหารนั้น เข้าเกณฑ์ "ราชาโชค" ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๘ แล้ว และจะโคจรเข้าควบคู่กับดวงเมืองตั้งแต่ เดือนมกราคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ซึ่งจะมีอิทธิพลให้ประเทศชาติบ้านเมืองค่อยคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาพป่วยไข้ จำเป็นจะต้องได้รับการเยียวยารักษาหรืออาจจะต้องถึงกับผ่าตัดบ้าง อาการของบ้านเมืองจึงจะดีขึ้น

เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล

สภาพ การณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติและประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่าประเทศชาติและประชาชนจะร่ำรวยขึ้น มีความสุขสมบูรณ์ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป

เพราะ เรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็น ของมีค่าทั้งสิ้น อาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกั

ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย

อย่าง น้ำมัน ซึ่ง เป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทยเรา

ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ

เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน

พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู
จึงถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน
เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ
แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่

“เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทยไปลงทะเล

เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น

เขาบอกว่า
น้ำมัน นี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด

เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย
เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย”

ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่

เจ้า เทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขตพม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร

ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง

อาตมา อยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

บริเวณ นั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าเทวดาดำองค์นั้นไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ

ต่อ เมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ให้บ้านเมืองเรามีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น