แชร์หน้านี้ให้เพื่อนๆ

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

4 เหตุผลที่คนไทย ควรหยุดใช้ชีวิต Slow Life แล้วไปทำงาน !!!

อัยยะข่าว (ข่าวรายวัน ข่าวสด ข่าวเด่น) ขอบคุณเนื้อหาจาก bigza


“เรามีเงินเก็บ 50000 บาท, เหมาะสมรึยังกับการลาออกจากงานมาใช้ชีวิต Slow Life”
คือ “กระทู้แนะนำ” ใน Pantip ห้องสีลม, ที่ผมเห็นตอน Backpack ไป”เกาหลีญี่ปุ่นรัสเซีย” เมื่อเดือนก่อน
ตอนนั้นผมขำนิดๆ เพราะส่วนตัวผมมีเงินเย็นใน Bank มากกว่าเจ้าของกระทู้อยู่ร้อยเท่าแต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกว่ามัน “พอ” สำหรับการ “มีคุณภาพชีวิตที่ดี” ในกรุงเทพฯ เลยและวันนี้ผมก็ขยับขึ้นมาจาก “ขำนิดหน่อย”, เป็น “กังวลมาก” แทนด้วยซ้ำ
คุณแม่ผมเข้าโรงพยาบาลกระทันหันเมื่อเช้า, [ที่จริงคืนนี้ผมต้องบินไป Tokyo เพื่อรับ iPhone 6S ด้วย]
ค่าห้อง / ค่ายาและค่าหมอแค่คืนแรกก็ราวหมื่นห้า, ยังไม่รวมค่า CT Scan อีก 14400 บาท…


1. Slow Life ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่มีชีวิตเป็นอมตะ 
ผมอายุสามสิบและคิดว่าคนส่วนใหญ่ที่ปรารถนาชีวิต Slow Life ก็อยู่ในช่วงวัยใกล้เคียงกับผม, แน่นอนว่าเรายังแข็งแรงมากพอเพราะตัวผมก็เพิ่งกลับจาก Backpack ครั้งใหญ่ประจำปีไป “เกาหลีญี่ปุ่นรัสเซีย” รวมหนึ่งเดือนโดยไม่ป่วยอะไร
แต่การที่เราอายุเข้าหลัก “3x”
ก็แปลว่าพ่อแม่ที่บ้านต้องเข้าหลัก “6x”
เป็นวัยที่แค่ “หกล้ม” ก็อาจถึงชีวิต
และเราทุกคนก็รู้กันดี [หรือพวก Slow Lifer อาจไม่ทราบ ?] ว่าค่าหมอค่ายาปัจจุบันมันแพงขนาดไหน
แต่ถ้าอยากให้พ่อแม่ต้องรอความเมตตาแบบ “Slow Life” ในห้องอนาถาก็ไม่ว่ากัน…

2. อนาคตเมืองไทยจะเป็นอย่างไรถ้าทุกคน Slow Life ?
 Blog เก่าผมเขียนเรื่องที่ Hillary Clinton ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่อง The Sharing Economy [ที่ตัว Clinton เรียกมันว่า “The Gig Economy”] ว่า “แล้วอนาคตของ USA จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนหันมาขับ Uber กันหมด ?”
ไม่มีใครคิดเรื่องอนาคต, ในวันที่ทั้งตัวเราและพ่อแม่แก่ชราลง…
ประเทศโลกที่ 1 เช่นญี่ปุ่นซึ่งมีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุจะมีจำนวนมากขึ้นจึงหาทางให้ “ประชาชนดูแลตัวเอง”
ด้วยการสนับสนุนให้คนซื้อประกันตั้งแต่ยังแข็งแรงเพื่อให้มีเงินรักษาตัวเองเมื่อทำงานไม่ไหว
ตรงข้ามกับเมืองไทย, อะไรที่จุดกระแส Slow Life ?
ผมยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้

3. Slow Life ก็แค่ “ข้ออ้าง” ของความขี้เกียจ
 
 ผมเคยต้องสัมภาษณ์เด็กจบใหม่ที่มาสมัครเข้าทำงาน
 
ไม่รู้มหา’ลัยหรือดารานักร้องและ Net Idol คนไหน, ที่ชอบสอนให้พวกเขาเป็น “นักฝัน“
 
แต่ไม่ใช่ “นักลงมือทำ“
 
พวกเขาเข้านอนพร้อมกับความฝันที่ว่า “ตื่นมาจะเป็น Steve Jobs” และแนวคิดที่ว่า “ขนาด Bill Gates เรียนไม่จบก็ยังประสบความสำเร็จ”, โดยเขาไม่เคยอ่าน Blog เก่าผมเรื่อง “4 ความจริงที่คนเรียนไม่จบมหา’ลัย ไม่กลับมาเล่าให้คุณฟัง“
 
“Slow Life” กลายเป็น “ข้ออ้าง” ในการปฏิเสธงานหนัก, แย่กว่านั้นคือปฏิเสธกระทั่งการหาความรู้ใหม่ๆ
 
พักหลังผมเจอบ่อยมาก, เด็กจบใหม่ที่แค่ “โง่” ไม่พอแต่ยังเลือก “ขี้เกียจ” เพิ่มเข้าไปโดยใช้ “Slow Life” เป็นข้ออ้าง


4.
 
ไม่มีข้อ 4 ใน Blog นี้หรอกครับ
 
ถ้าแค่ 3 ข้อยังไม่ทำให้รู้สึกแย่พอ, จะเขียนเพิ่มไปอีกกี่สิบข้อมันก็เท่านั้น
 
 อีกหนึ่งความจริงที่บรรดา “Slow Lifer” อาจไม่ทราบก็คือ “โลกภายนอกไม่ได้หยุดหมุนแม้คุณจะเข้าสู่วงแหวนแห่ง Slow Life”, และผมอยากบอกเด็กจบใหม่ทั้งหลายว่า “คุณอาจพอใจกับชีวิตจักรยานในขณะที่คนรอบข้างขับรถแซงไปไกล”
 
แต่อย่าโวยวาย, อย่าอุทธรณ์และอย่าฏีกา
 
อย่าหาเรื่องอ้างให้ทุกคนต้องกลับมา “เริ่มต้นใหม่เท่ากัน” ในวันที่คุณวิ่งตามเขาไม่ทัน
 
สุดท้ายนี้, ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามา Comment เป็นกำลังใจให้คุณแม่ผมครับ…
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น