ไม่ว่ารวยหรือจนความใฝ่ฝันของชายชาตรีส่วนใหญ่ มักจะใฝ่ฝันที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี หรือ ตำรวจ ด้วยกันทั้งนั้น แต่พอได้เข้ามารับใช้ชาติแล้วด้วยเงินเดือนน้อยนิดจึงต้องพยายามดิ้นรนหาหนทางประกอบอาชีพเสริมเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นทำให้ฐานะทางครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เช่นเดียวกับ “ด.ต.สิริเวช เจริญชนม์” ที่สู้ชีวิตทำหลากหลายอาชีพอย่างภาคภูมิใจ อาทิ ตำรวจเฝ้าร้านทอง ธนาคาร ร้านสะดวกซื้อ คนขับแท็กซี่ และอีกงานหนึ่งที่ไม่ไกลตัวคืออาชีพนักแสดง “ตำรวจตัวประกอบ” ทางจอแก้ว ที่หลายๆ คนคงคุ้นหน้าคุ้นตากับเขาคนนี้ดี
“ด.ต.สิริเวช เจริญชนม์” เกิดวันเมื่อที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2518 โดยกำเนิดเป็นชาวจังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ของ “คุณพ่อวัฒนา เจริญชนม์” และ “คุณแม่อำพันธ์ เจริญชนม์” ครอบครัวของเขามีอาชีพทำสวนยางพารา ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน “ด.ช.สิริเวช” จึงพยายามคิดหาวิธีช่วยเหลือทางบ้านให้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาเฝ้ามองถนนหน้าบ้านซึ่งเป็นถนนลาดยางขาเข้าสู่กรุงเทพฯ ทุกวัน...แล้วคิดใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะต้องมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองกรุงเพื่อหางานทำแล้วนำเงินกลับมาช่วยเหลือพ่อแม่ของเขา
ในวัยเด็ก “ด.ช.สิริเวช” เรียนจบชั้น ป.6 จากโรงเรียนบ้านควนเนียง อำเภอบ้านนาสาน จบมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนพรุพีพิทยาคม จบ ปวช.สาขาช่างยนต์ โรงเรียนเทคโนโลยีภาคใต้ หลังจากนั้นเขาได้สมัครเข้าเรียนระดับปวส.ที่โรงเรียนเทคนิค จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงนั้นมีการเปิดสอบคัดเลือกตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 300 อัตรา เขาจึงตัดสินใจเข้าสอบและเขาก็สามารถสอบเข้าตำรวจได้สำเร็จจึงขอลาออกจากโรงเรียนเทคนิคทันที
ในปี พ.ศ.2537 ว่าที่พลตำรวจ “สิริเวช” จึงได้มุ่งหน้าก้าวสู่ทางฝันสมกับความตั้งใจ โดยมีแค่เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่เพียง 5 ชุดในกระเป๋าเดินทาง เข้ามาเรียนที่โรงเรียนตำรวจ จังหวัดนครปฐม ในหลักสูตรเร่งรัด 4 เดือน ปีพ.ศ.2538 เขาได้ถูกเรียกตัวเข้ารับราชการตำรวจที่กรุงเทพฯ ในคำสั่งบรรจุแต่งตั้งตำแหน่งยศ “พลตำรวจ” ที่สถานีตำรวจดับเพลิงลาดยาว แผนกช่างซ่อมบำรุง ด้วยอัตราเงินเดือนของข้าราชการชั้นผู้น้อยเพียงแค่ 4,100 บาท จึงไม่เพียงพอที่จะจัดสรรส่งเสียทดแทนบุญคุณให้กับบุพการีได้มากมายนัก เขาจึงมุ่งมั่นเรียนต่อจนจบระดับปริญญาตรีเมื่อปีพ.ศ.2547 สาขารัฐศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม ได้ปรับชั้นยศจากพลตำรวจมาเป็น “ดาบตำรวจ” มีรายได้เพิ่มขึ้น ในปัจจุบันครอบครัว “เจริญชนม์” มีฐานะดีขึ้นมาก เพราะพี่น้องทั้งหมดต่างเรียนจบมีหน้าที่การงานที่ดีและราคายางพาราก็ดีขึ้นตามลำดับ
หลังจากใช้ชีวิตตำรวจหนุ่มโสดอยู่นาน “ด.ต.สิรเวช” จึงตกลงปลงใจแต่งงานใช้ชีวิตคู่กับ “คุณโชติกา เจริญชนม์” มีลูกสาวและลูกชาย 2 คน คือ “ด.ญ.กาญณัฐา เจริญชนม์” และ “ด.ช.ทนุธรรม เจริญชนม์” เมื่อครอบครัวมีสมาชิกเพิ่มขึ้นนั่นหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายย่อมมากขึ้น “ด.ต.สิริเวช” จึงต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัวเขาจึงหาอาชีพเสริมด้วยการไปเฝ้าร้านขายทอง ธนาคาร และร้านค้าสะดวกซื้อ วันละ 8-10 ชั่วโมงแลกกับค่าแรง 250 บาท เมื่อครั้งที่ “ด.ต.สิริเวช” รับราชการตำแหน่ง “พลตำรวจ” ที่สถานีตำรวจดับเพลิงลาดยาว มีอยู่วันหนึ่งในช่วงรอเหตุ ได้มีกองถ่ายละครจากค่าย “กันตนา” ได้มาติดต่อให้ตำรวจไปเล่นละครเป็นตัวประกอบเรื่อง “สารวัตรเถื่อน” ซึ่งไปถ่ายที่ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ก็เลยชอบงานแสดงตั้งแต่นั้นมา “พอได้ลองงานด้านนี้ผมก็รู้สึกชอบเพราะเป็นงานที่ใกล้ตัวและถนัด จนผมได้มาถ่ายภาพยนตร์โฆษณาชิ้นแรก “สิงห์คะนองนา” กับประโยคยอดฮิตที่ว่า “สงสัยท่านรองจะถูกยิง” โฆษณาตัวนั้นดังมาก ทำให้นักแสดงหลายคนเกิด หลังจากนั้นก็โฆษณาอีกกว่า 10 ตัว ซึ่งได้รับบทหลากหลายไม่ได้ผูกขาดบทตำรวจอย่างเดียว
แอ็คติ้งในการแสดงเป็นเรื่องสำคัญมากถึงแม้เขาเป็นตำรวจตัวจริง และใช้ความเป็นตัวตนแสดงออกมาในบทที่เป็นอาชีพของตัวเอง เขาก็ต้องพัฒนาฝีมือด้วยการเรียนแอ็คติ้ง ซึ่งเขาพยายามเรียนรู้จากการดูหนังบู๊แอ็คชั่นทั้งในและต่างประเทศเพราะการเล่นบทแอ็คชั่นมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จึงพยายามฝึกฝนตัวเองและทีมงานให้มีความพร้อม อยู่เสมอ
“ด.ต.สิริเวช” บอกกับทีมงาน “ชีวิตต้องสู้” ว่า “ละครที่ผ่านมามีเรื่อง คุณชายตำระเบิด บันไดดอกรัก ดอกส้มสีทอง ละครเรื่องล่าสุดที่ผมเล่นคือเรื่องลุย กำลังออกอากาศทางช่อง 7 ในเรื่องผมรับบทเป็นลูกน้องคนสนิทของผู้การครับอย่าลืมติดตามชมกันเยอะๆ นะครับสนุก ครบรส แน่นอน และล่าสุดเพิ่งไปถ่ายทำเรื่อง มือปราบพ่อลูกอ่อน ทางช่อง 3 ครับ”
ด้วยแรงกายที่ยังใช้ไม่หมด “ด.ต.สิริเวช” จึงได้มองหาอาชีพเสริมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการรับราชการตำรวจและงานแสดงละคร ซึ่งเขาเลือกที่จะเป็น “โชเฟ่อร์แท็กซี่” โดยการตัดสินใจซื้อรถแท็กซี่มาขับรับผู้โดยสารหลังเวลาเลิกงาน ครั้งหนึ่ง “ด.ต.สิริเวช” ขับรถแท็กซี่ตามปกติผู้โดยสารดูจากบัตรประจำตัวผู้ขับแท็กซี่หน้ารถจึงจำได้ว่าเขาเป็นตำรวจแม้ตอนนั้นเขาจะใส่แว่นตาสีดำอำพรางใบหน้า ผู้โดยสารคนนั้นทักเขาว่าคุณตำรวจวันนี้ไม่ไปถ่ายละครเหรอ เขารู้สึกอายจนเกือบจะลงจากรถแท็กซี่เลย
ขอบคุณ : siamupdate
แอ็คติ้งในการแสดงเป็นเรื่องสำคัญมากถึงแม้เขาเป็นตำรวจตัวจริง และใช้ความเป็นตัวตนแสดงออกมาในบทที่เป็นอาชีพของตัวเอง เขาก็ต้องพัฒนาฝีมือด้วยการเรียนแอ็คติ้ง ซึ่งเขาพยายามเรียนรู้จากการดูหนังบู๊แอ็คชั่นทั้งในและต่างประเทศเพราะการเล่นบทแอ็คชั่นมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จึงพยายามฝึกฝนตัวเองและทีมงานให้มีความพร้อม อยู่เสมอ
“ด.ต.สิริเวช” บอกกับทีมงาน “ชีวิตต้องสู้” ว่า “ละครที่ผ่านมามีเรื่อง คุณชายตำระเบิด บันไดดอกรัก ดอกส้มสีทอง ละครเรื่องล่าสุดที่ผมเล่นคือเรื่องลุย กำลังออกอากาศทางช่อง 7 ในเรื่องผมรับบทเป็นลูกน้องคนสนิทของผู้การครับอย่าลืมติดตามชมกันเยอะๆ นะครับสนุก ครบรส แน่นอน และล่าสุดเพิ่งไปถ่ายทำเรื่อง มือปราบพ่อลูกอ่อน ทางช่อง 3 ครับ”
ด้วยแรงกายที่ยังใช้ไม่หมด “ด.ต.สิริเวช” จึงได้มองหาอาชีพเสริมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการรับราชการตำรวจและงานแสดงละคร ซึ่งเขาเลือกที่จะเป็น “โชเฟ่อร์แท็กซี่” โดยการตัดสินใจซื้อรถแท็กซี่มาขับรับผู้โดยสารหลังเวลาเลิกงาน ครั้งหนึ่ง “ด.ต.สิริเวช” ขับรถแท็กซี่ตามปกติผู้โดยสารดูจากบัตรประจำตัวผู้ขับแท็กซี่หน้ารถจึงจำได้ว่าเขาเป็นตำรวจแม้ตอนนั้นเขาจะใส่แว่นตาสีดำอำพรางใบหน้า ผู้โดยสารคนนั้นทักเขาว่าคุณตำรวจวันนี้ไม่ไปถ่ายละครเหรอ เขารู้สึกอายจนเกือบจะลงจากรถแท็กซี่เลย
ขอบคุณ : siamupdate
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น